ข้อบังคับ
ของ
สมาคมบัณฑิตตาบอดไทย
หมวดที่ 1
ความทั่วไป
ข้อ 1. สมาคมนี้มีชื่อว่า “สมาคมบัณฑิตตาบอดไทย” ย่อว่า “สบฑท” เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า “THAI GRADUATES SOCIETY OF THE BLIND ” ย่อว่า “TGSB”
ข้อ 2. เครื่องหมายของสมาคม มีลักษณะเป็นรูปบัณฑิตตาบอดสวมชุดครุยและใส่หมวกบัณฑิต มือขวาถือไม้ท้าวในลักษณะก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยเท้าซ้าย มีชื่อ “สมาคมบัณฑิตตาบอดไทย” เป็นรูปโค้งอยู่ด้านบนและมีชื่อย่อภาษาอังกฤษ “TGSB” เป็นรูปโค้งอยู่ด้านล่างในลักษณะโค้งเข้าหากัน
รูปของเครื่องหมายสมาคม
ข้อ 3. สำนักงานใหญ่ของสมาคมตั้งอยู่ ณ เลขที่ 68/4 ซอยวชิรธรรมสาธิต 14 ถนนสุขุมวิท 101/1 แขวงบางนาเหนือ เขตบางนา กรุงเทพมหานคร 10260
ข้อ 4. คำว่า “ สมาคมฯ” ต่อไปในข้อบังคับนี้ให้หมายถึง “สมาคมบัณฑิตตาบอดไทย”
ข้อ 5. วัตถุประสงค์ของสมาคม เพื่อ
5.1 เป็นศูนย์กลางแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น ประสบการณ์ ระหว่างบัณฑิตตาบอดทั้งในประเทศและ
ต่างประเทศ ตลอดจนเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารและกิจกรรมของสมาคมให้แก่สมาชิก
5.2 ส่งเสริมให้เกิดสังคม ซึ่งคนตาบอดสามารถอยู่ร่วมกับคนทั่วไปได้ โดยปราศจากอุปสรรคและการเลือกปฏิบัติ บนพื้นฐานของความเท่าเทียมกันทางสิทธิและเสรีภาพ
5.3 ส่งเสริมและขยายโอกาสให้คนตาบอดประสบความสำเร็จทางการศึกษาในระดับอุดมศึกษาตามความต้องการและความสามารถของแต่ละบุคคล
5.4 ส่งเสริม พัฒนา และพิทักษ์สิทธิในการประกอบอาชีพของบัณฑิตตาบอด รวมทั้งสนับสนุนให้มีโอกาสในการประกอบอาชีพตรงตามความรู้ความสามารถที่ได้สำเร็จการศึกษา
5.5 ส่งเสริมให้บัณฑิตตาบอดสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีและเข้าถึงข้อมูลข่าวสารอันเป็นสาธารณะ
5.6 ประสานงานและร่วมมือกับองค์กรต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อสาธารณประโยชน์
5.7 ส่งเสริมและสนับสนุนให้สมาชิก ตลอดจนครอบครัวจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลหรือสลากประเภทอื่นที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลหรือรัฐบาลพิมพ์ออกจำหน่าย
5.8 ไม่จัดตั้งโต๊ะบิลเลียด ไม่ดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับการพนัน ไม่นำผลกำไรหรือหารายได้มาแบ่งปันกัน ตลอดจนไม่ทำให้เสื่อม เสียศีลธรรม จารีตประเพณีอันดีงามของชาติ
หมวดที่ 2
สมาชิก
ข้อ 6. สมาชิกของสมาคม มี 3 ประเภท คือ
6.1 สมาชิกสามัญ ได้แก่ คนตาบอดที่สำเร็จการศึกษาตั้งแต่ระดับปริญญาตรีขึ้นไป จากสถาบันการศึกษาของภาครัฐและเอกชน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
6.2 สมาชิกวิสามัญ ได้แก่ คนตาบอด หรือ บุคคลทั่วไป ที่สนใจในกิจกรรมของสมาคม
6.3 สมาชิกกิตติมศักดิ์ ได้แก่ บุคคลผู้ทรงเกียรติ หรือทรงคุณวุฒิ หรือผู้มีอุปการคุณแก่สมาคม ซึ่งคณะกรรมการลงมติให้เชิญเข้าเป็นสมาชิกของสมาคมและบุคคลผู้นั้นตอบรับคำเชิญ
ข้อ 7. สมาชิกจะต้องประกอบด้วยคุณสมบัติดังต่อไปนี้
7.1 เป็นผู้บรรลุนิติภาวะแล้ว
7.2 เป็นผู้มีความประพฤติเรียบร้อย
7.3 ไม่เป็นโรคที่สังคมรังเกียจ
7.4 ไม่ต้องคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดให้เป็นบุคคลล้มละลาย หรือไร้ความสามารถ หรือเสมือนไร้
ความสามารถ หรือต้องโทษจำคุก ยกเว้นความผิดฐานประมาท หรือลหุโทษการต้องคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดในกรณีดังกล่าว จะต้องเป็นในขณะที่สมัครเข้าเป็นสมาชิกหรือในระหว่างที่เป็นสมาชิกของสมาคมเท่านั้น
ข้อ 8. ค่าธรรมเนียม ค่าบำรุงสมาคม และหลักฐานในการสมัคร
8.1 ค่าธรรมเนียมและค่าบำรุงสมาคม
8.1.1 สมาชิกสามัญและสมาชิกวิสามัญจะต้องเสียค่าธรรมเนียมในการสมัคร ครั้งแรกรายละ 50
บาท ค่าบำรุงรายปี ปีละ 100 บาท ค่าบำรุงตลอดชีพ 300 บาท กรณีที่ชำระค่าบำรุงรายปีจะต้องชำระให้เสร็จสิ้นภายในเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี สมาชิกสามัญและสมาชิกวิสามัญที่ค้างชำระค่าบำรุงรายปีเกินกำหนดถึง 2 เดือน สมาชิกท่านนั้นย่อมหมดสิทธิต่างๆ ตามที่ระเบียบสมาคมกำหนดไว้จะได้รับสิทธิต่างๆ คืนต่อเมื่อได้ชำระค่าบำรุงที่ค้างไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
8.1.2 สมาชิกกิตติมศักดิ์ มิต้องเสียค่าลงทะเบียนและค่าบำรุงสมาคมแต่อย่างใดทั้งสิ้น
8.2 หลักฐานการสมัครเป็นสมาชิกของสมาคม ผู้สมัครต้องยื่นหลักฐานในการสมัคร ดังนี้
8.2.1 สำเนาทะเบียนบ้าน
8.2.2 สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
8.2.3 สำเนาสมุดทะเบียนคนพิการ (เฉพาะสมาชิกสามัญ)
8.2.4 สำเนาวุฒิการศึกษา ระดับปริญญาตรีขึ้นไป (เฉพาะสมาชิกสามัญ)
8.2.5 รูปถ่ายขนาด 1 นิ้ว 3 รูป หน้าตรง ไม่ใส่แว่น ไม่สวมหมวก
ข้อ 9. การสมัครเข้าเป็นสมาชิกสามัญและสมาชิกวิสามัญของสมาคม ให้ผู้ประสงค์จะสมัครเข้าเป็นสมาชิกของสมาคมยื่นใบสมัครตามแบบของสมาคมต่อเลขานุการ โดยมีสมาชิกสามัญรับรองอย่างน้อย 1 คน และให้เลขานุการติดประกาศรายชื่อผู้สมัครไว้ ณ สำนักงานของสมาคมเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 15 วัน เพื่อให้สมาชิกอื่นๆ ของสมาคมจะได้คัดค้านการสมัครนั้น เมื่อครบกำหนดประกาศแล้วก็ให้เลขานุการนำใบสมัครและหนังสือคัดค้านของสมาชิก (ถ้ามี) เสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการเพื่อพิจารณาว่าจะรับหรือไม่รับเข้าเป็นสมาชิกของสมาคมและเมื่อคณะกรรมการพิจารณาการสมัครแล้ว ผลเป็นประการใด ให้เลขานุการเป็นผู้แจ้งให้ผู้สมัครทราบโดยเร็ว
ข้อ 10. ถ้าคณะกรรมการพิจารณาอนุมัติให้รับผู้สมัครเข้าเป็นสมาชิก ก็ให้ผู้สมัครนั้นชำระเงินค่าลงทะเบียนและค่าบำรุงสมาคมให้เสร็จภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากเลขานุการ และสมาชิกภาพของผู้สมัคร ให้เริ่มนับตั้งแต่วันที่ผู้สมัครได้ชำระเงินค่าลงทะเบียนและค่าบำรุงสมาคมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ถ้าผู้สมัครไม่ชำระเงินค่าลงทะเบียนและค่าบำรุงสมาคมภายในกำหนด ก็ให้ถือว่าการสมัครคราวนั้นเป็นอันยกเลิก
ข้อ 11. สมาชิกภาพของสมาชิกกิตติมศักดิ์ ให้เริ่มนับตั้งแต่วันที่หนังสือตอบรับคำเชิญของผู้ที่คณะกรรมการได้พิจารณาลงมติให้เชิญเข้าเป็นสมาชิกของสมาคม ได้มาถึงยังสมาคม
ข้อ 12. สมาชิกภาพของสมาชิกให้สิ้นสุดด้วยเหตุดังต่อไปนี้
12.1 ตาย
12.2 ลาออก โดยยื่นเป็นหนังสือต่อคณะกรรมการ และคณะกรรมการได้พิจารณาอนุมัติ โดยสมาชิกผู้นั้นได้ชำระหนี้สินที่ติดค้างกับสมาคมเรียบร้อยแล้ว
12.3 ขาดคุณสมบัติสมาชิก
12.4 ที่ประชุมใหญ่ของสมาคม หรือคณะกรรมการได้พิจารณาลงมติให้ลบชื่อออกจากทะเบียนเพราะ
สมาชิกผู้นั้นได้ประพฤตินำความเสื่อมเสียมาสู่สมาคม
ข้อ 13. สิทธิและหน้าที่ของสมาชิก
13.1 มีสิทธิเข้าใช้สถานที่ของสมาคมโดยเท่าเทียมกัน ทั้งนี้ให้เป็นไปตามระเบียบว่าด้วยการใช้สถานที่ของสมาคม
13.2 มีสิทธิเสนอความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินงานของสมาคมต่อคณะกรรมการตามวัตถุประสงค์ของสมาคม
13.3 มีสิทธิได้รับสวัสดิการต่างๆ ที่สมาคมได้จัดให้มีขึ้น ทั้งนี้ให้เป็นไปตามระเบียบว่าด้วยการใช้
สวัสดิการของสมาคม
13.4 มีสิทธิเข้าร่วมประชุมใหญ่ของสมาคม
13.5 สมาชิกสามัญมีสิทธิในการเลือกตั้ง หรือได้รับการเลือกตั้ง หรือแต่งตั้งเป็นกรรมการสมาคม และมี
สิทธิออกเสียงลงมติต่างๆ ในที่ประชุมได้คนละ 1 คะแนนเสียง (ห้ามออกเสียงแทนกัน)
13.6 มีสิทธิร้องขอต่อคณะกรรมการ เพื่อตรวจสอบเอกสารและบัญชีทรัพย์สินของสมาคม โดยต้องมี
สมาชิกสามัญลงลายมือชื่อร่วมกันไม่น้อยกว่า 25 คน
13.7 มีสิทธิเข้าชื่อร่วมกันอย่างน้อย 1 ใน 5 ของสมาชิกสามัญทั้งหมด หรือสมาชิกสามัญจำนวน 100
คน ร้องขอต่อคณะกรรมการให้จัดประชุมใหญ่วิสามัญได้
13.8 มีหน้าที่จะต้องปฏิบัติตามระเบียบปฏิบัติ และข้อบังคับของสมาคมโดยเคร่งครัด
13.9 มีหน้าที่ประพฤติตนให้สมกับเกียรติที่เป็นสมาชิกของสมาคม
13.10 มีหน้าที่ให้ความร่วมมือและสนับสนุนการดำเนินกิจการต่างๆ ของสมาคม
13.11 มีหน้าที่เข้าร่วมประชุมใหญ่ หรือเข้าร่วมกิจกรรมที่สมาคมได้จัดให้มีขึ้น
13.12 มีหน้าที่ช่วยเผยแพร่ชื่อเสียงของสมาคมให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย
หมวดที่ 3
การดำเนินกิจการสมาคม
ข้อ 14. ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่ง ทำหน้าที่บริหารกิจการของสมาคมมีจำนวนอย่างน้อย 7 คน อย่างมากไม่เกิน 15 คน คณะกรรมการนี้ต้องเป็นสมาชิกสามัญได้มาจากการเลือกตั้งของที่ประชุมใหญ่ของสมาคม โดยสมัครเป็นคณะ ซึ่งมีตำแหน่งและหน้าที่ดังต่อไปนี้
14.1 นายกสมาคม ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าในการบริหารกิจการของสมาคม เป็นผู้แทนสมาคมในการติดต่อ
กับบุคคลภายนอก หรือการทำนิติกรรมต่างๆ ของสมาคม และทำหน้าที่เป็นประธานในที่ประชุมคณะกรรมการ และการประชุมใหญ่ของสมาคม
14.2 อุปนายกสมาคม ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยนายกสมาคมในการบริหารกิจการสมาคม ปฏิบัติตามหน้าที่ที่
นายกสมาคมได้มอบหมาย และทำหน้าที่แทนนายกสมาคมเมื่อนายกสมาคมไม่อยู่ หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ แต่การทำหน้าที่แทนนายกสมาคมให้อุปนายกตามลำดับตำแหน่งเป็นผู้กระทำการแทน
14.3 เลขานุการ ทำหน้าที่เกี่ยวกับงานธุรการของสมาคมทั้งหมด เป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ของสมาคมในการปฏิบัติกิจการของสมาคม และปฏิบัติตามคำสั่งของนายกสมาคม ตลอดจนทำหน้าที่เป็นเลขานุการในการประชุมต่างๆ ของสมาคม
14.4 เหรัญญิก มีหน้าที่เกี่ยวกับการเงินทั้งหมดของสมาคม เป็นผู้จัดทำบัญชีรายรับรายจ่าย บัญชีงบดุลของสมาคม และเก็บเอกสารหลักฐานต่างๆ ของสมาคมไว้เพื่อตรวจสอบ
14.5 ปฏิคม มีหน้าที่ในการต้อนรับแขกของสมาคม เป็นหัวหน้าในการจัดเตรียมสถานที่ของสมาคมและจัดเตรียมสถานที่ประชุมต่างๆ ของสมาคม
14.6 นายทะเบียน มีหน้าที่เกี่ยวกับทะเบียนสมาชิกทั้งหมดของสมาคม ประสานงานกับเหรัญญิกในการเรียกเก็บเงินค่าบำรุงสมาคมจากสมาชิก
14.7 ประชาสัมพันธ์ มีหน้าที่เผยแพร่กิจการและชื่อเสียงเกียรติคุณของสมาคมให้สมาชิกและบุคคลโดยทั่วไปให้เป็นที่รู้จักแพร่หลาย
14.8 กรรมการตำแหน่งอื่นๆ ตามความเหมาะสม ซึ่งคณะกรรมการเห็นสมควรกำหนดให้มีขึ้นโดยมีจำนวนเมื่อรวมกับตำแหน่งกรรมการตามข้างต้นแล้ว จะต้องไม่เกินจำนวนที่ข้อบังคับได้กำหนดไว้ แต่ถ้าคณะกรรมการมิได้กำหนดตำแหน่งก็ถือว่าเป็นกรรมการกลาง
ข้อ 15. คณะกรรมการของสมาคมสามารถอยู่ในตำแหน่งได้คราวละ 4 ปี โดยให้นับตั้งแต่วันที่ได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนจากทางราชการเป็นต้นไป และเมื่อคณะกรรมการอยู่ในตำแหน่งครบกำหนดตามวาระหรือพ้นวาระตามข้อ 17 ให้จัดการเลือกตั้งภายใน 30 วันนับแต่วันที่พ้นวาระ หรือวันที่คณะกรรมการพ้นจากตำแหน่ง
เมื่อที่ประชุมใหญ่เลือกตั้งคณะกรรมการชุดใหม่แล้ว จะต้องทำการยื่นขออนุญาตจดทะเบียนคณะกรรมการต่อทางราชการภายใน 30 วัน นับจากวันเลือกตั้ง
ในระหว่างที่คณะกรรมการชุดใหม่ยังไม่ได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนจากทางราชการก็ให้คณะกรรมการชุดเก่ารักษาการไปพลางก่อนจนกว่าคณะกรรมการชุดใหม่จะได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนจากทางราชการ
เมื่อคณะกรรมการชุดใหม่ได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนจากทางราชการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ให้ทำการส่งและรับมอบงานกันระหว่างคณะกรรมการชุดเก่าและคณะกรรมการชุดใหม่ให้เป็นที่เสร็จสิ้นภายใน 30 วัน นับแต่วันที่คณะกรรมการชุดใหม่ได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนจากทางราชการ
ข้อ 16. ตำแหน่งกรรมการสมาคม ถ้าต้องว่างลงก่อนครบกำหนดตามวาระก็ให้คณะกรรมการแต่งตั้งสมาชิกสามัญคนใดคนหนึ่งที่เห็นสมควรเข้าดำรงตำแหน่งแทนตำแหน่งที่ว่างลงนั้น แต่ผู้ดำรงตำแหน่งแทนอยู่ในตำแหน่งได้เท่ากับวาระของผู้ที่ตนแทนเท่านั้น
ข้อ 17. กรรมการอาจจะพ้นจากตำแหน่ง ซึ่งมิใช่เป็นการออกตามวาระด้วยเหตุผลต่อไปนี้ คือ
17.1 ตาย
17.2 ลาออก
17.3 ขาดจากสมาชิกภาพ
17.4 ที่ประชุมใหญ่ลงมติให้ออกจากตำแหน่ง
ข้อ 18. กรรมการที่ประสงค์จะลาออกจากตำแหน่งกรรมการให้ยื่นใบลาออกเป็นลายลักษณ์อักษรต่อคณะกรรมการและเมื่อคณะกรรมการมีมติให้ออก จึงจะถือว่ามีผลสมบูรณ์
ข้อ 19. คุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นนายกสมาคม
19.1 ต้องเป็นสมาชิกสามัญของสมาคมมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ปี
19.2 มีอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไป
19.3 มีวุฒิการศึกษา ระดับปริญญาตรีขึ้นไป
19.4 ต้องไม่มีหนี้สินค้างชำระอยู่กับสมาคม
ข้อ 20. คุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นกรรมการ
20.1 ต้องเป็นสมาชิกสามัญของสมาคมไม่น้อยกว่า 1 ปีขึ้นไป
20.2 มีอายุ ตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป
20.3 มีวุฒิการศึกษา ระดับปริญญาตรีขึ้นไป
20.4 ต้องไม่มีหนี้สินค้างชำระอยู่กับสมาคม
ข้อ 21. คุณสมบัติของสมาชิกที่มีสิทธิเลือกตั้ง ต้องเป็นสมาชิกของสมาคมมาแล้วมาน้อยกว่า 60 วัน นับไปถึงวันเลือกตั้ง
ข้อ 22. อำนาจและหน้าที่ของคณะกรรมการ
22.1 มีอำนาจออกระเบียบปฏิบัติต่างๆ เพื่อให้สมาชิกได้ปฏิบัติ โดยระเบียบปฏิบัตินั้นจะต้องไม่ขัดต่อข้อบังคับฉบับนี้
22.2 มีอำนาจแต่งตั้ง และ ถอดถอนเจ้าหน้าที่ของสมาคม เมื่อกระทำความผิดต่อหน้าที่ หรือ ไม่สนองต่อนโยบายของคณะกรรมการ
22.3 มีอำนาจแต่งตั้งกรรมการ ที่ปรึกษา หรืออนุกรรมการได้ แต่กรรมการ ที่ปรึกษา หรืออนุกรรมการจะสามารถอยู่ในตำแหน่งได้ไม่เกินวาระของคณะกรรมการที่แต่งตั้ง
22.4 มีอำนาจเรียกประชุมใหญ่สามัญประจำปี และประชุมใหญ่วิสามัญ
22.5 มีอำนาจแต่งตั้งกรรมการในตำแหน่งอื่นๆ ที่ยังมิได้กำหนดไว้ในข้อบังคับนี้
22.6 มีอำนาจบริหารกิจการของสมาคม เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ตลอดจนมีอำนาจอื่นๆ ตามที่ข้อบังคับได้กำหนดไว้
22.7 มีหน้าที่รับผิดชอบในกิจการทั้งหมด รวมทั้งการเงินและทรัพย์สินทั้งหมดของสมาคม
22.8 มีหน้าที่จัดให้มีการประชุมใหญ่วิสามัญตามที่สมาชิกสามัญจำนวน 1 ใน 5 ของสมาชิกสามัญทั้งหมด หรือ สมาชิกสามัญ จำนวน 100 คน ได้เข้าชื่อร้องขอให้จัดประชุมใหญ่วิสามัญขึ้น ซึ่งการนี้จะต้องจัดให้มีการประชุมใหญ่วิสามัญขึ้นภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือร้องขอ
22.9 มีหน้าที่จัดทำเอกสารหลักฐานต่างๆ ทั้งที่เกี่ยวกับการเงิน ทรัพย์สินและการดำเนินกิจกรรม
ต่างๆ ของสมาคมให้ถูกต้องตามหลักวิชาการและสามารถจัดให้สมาชิกตรวจดูได้เมื่อสมาชิกร้องขอ
22.10 จัดทำบันทึกการประชุมต่างๆ ของสมาคม เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานและจัดส่งให้สมาชิกได้รับทราบ
22.11 มีหน้าที่อื่นๆ ตามที่ข้อบังคับได้กำหนดไว้
ข้อ 23. คณะกรรมการจะต้องประชุมกันอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง ทั้งนี้เพื่อปรึกษาหารือเกี่ยวกับการบริหารกิจการของสมาคม
ข้อ 24. การประชุมคณะกรรมการ จะต้องมีกรรมการเข้าร่วมประชุมไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของกรรมการทั้งหมด จึงจะถือว่าครบองค์ประชุมมติของที่ประชุมคณะกรรมการ ถ้าข้อบังคับมิได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ก็ให้ถือคะแนนเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ แต่ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันก็ให้ประธานในการประชุมเป็นผู้ชี้ขาด
ข้อ 25. ในการประชุมคณะกรรมการ ถ้านายกสมาคมและอุปนายกสมาคมไม่อยู่ในที่ประชุม หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ก็ให้คณะกรรมการที่เข้าประชุมในคราวนั้นเลือกตั้งกันเอง เพื่อให้กรรมการคนใดคนหนึ่งทำหน้าที่เป็นประธานในการประชุมคราวนั้น
หมวดที่ 4
การประชุมใหญ่
ข้อ 26. การประชุมใหญ่ของสมาคมมี 2 ชนิด คือ
26.1 การประชุมใหญ่สามัญ
26.2 การประชุมใหญ่วิสามัญ
ข้อ 27. คณะกรรมการจะต้องจัดให้มีการประชุมใหญ่สามัญประจำปี ปีละ 1 ครั้ง ภายใน 120 วัน นับจากวันสิ้นปีงบประมาณของสมาคม
ข้อ 28. การประชุมใหญ่วิสามัญ อาจจะมีขึ้นได้โดยเหตุที่คณะกรรมการเห็นควรจัดให้มีขึ้น หรือเกิดขึ้นด้วยการเข้าชื่อร่วมกันของสมาชิกสามัญไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของสมาชิกสามัญทั้งหมด หรือสมาชิกสามัญ จำนวน 100 คน ร้องขอต่อคณะกรรมการให้จัดให้มีขึ้น
ข้อ 29. การแจ้งกำหนดการประชุมใหญ่ ให้เลขานุการเป็นผู้แจ้งกำหนดนัดประชุมใหญ่ให้สมาชิกได้ทราบ และการแจ้งจะต้องแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษร โดยระบุ วัน เวลา และสถานที่ให้ชัดเจน โดยจะต้องแจ้งให้สมาชิกได้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 7 วัน ก่อนถึงวันกำหนดประชุมใหญ่
ข้อ 30. การประชุมใหญ่สามัญประจำปี จะต้องมีวาระการประชุมอย่างน้อยดังต่อไปนี้
30.1 แถลงกิจการที่ผ่านมาในรอบปี
30.2 แถลงบัญชีรายรับ รายจ่าย และบัญชีงบดุลของปีที่ผ่านมาให้สมาชิกรับทราบ
30.3 เลือกตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ เมื่อครบกำหนดตามวาระ
30.4 เลือกตั้งผู้สอบบัญชี
30.5 เรื่องอื่นๆ ( ถ้ามี )
ข้อ 31. การประชุมใหญ่สามัญประจำปี หรือการประชุมใหญ่วิสามัญ จะต้องมีสมาชิกสามัญเข้าร่วมประชุมไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของสมาชิกสามัญทั้งหมดจึงจะถือว่าครบองค์ประชุม แต่ถ้าเมื่อถึงกำหนดเวลาประชุมยังมีสมาชิกสามัญเข้าร่วมประชุมไม่ครบองค์ประชุม ให้คณะกรรมการของสมาคมเรียกประชุมใหม่อีกครั้ง โดยจัดให้มีการประชุมขึ้นภายใน 14 วัน นับแต่วันที่นัดประชุมครั้งแรก สำหรับการประชุมในครั้งหลังนี้มีสมาชิกสามัญเข้าร่วมประชุมเป็นจำนวนเท่าใดก็ให้ถือว่าครบองค์ประชุม
ยกเว้นถ้าเป็นการประชุมใหญ่วิสามัญซึ่งเกิดจากการเข้าชื่อร่วมกันของสมาชิก ถ้ามีสมาชิกสามัญมาร่วมประชุมไม่ถึงจำนวนครึ่งหนึ่งของสมาชิกสามัญทั้งหมด ก็ไม่ต้องจัดการประชุมให้ถือว่าการประชุมเป็นอันยกเลิก
ข้อ 32. การลงมติต่างๆ ในที่ประชุม ถ้าข้อบังคับไม่ได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ก็ให้ถือคะแนนเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ แต่ถ้าคะแนนเสียงที่ลงมติเท่ากันก็ให้ประธานในที่ประชุมเป็นผู้ชี้ขาด
ข้อ 33. ในการประชุมใหญ่ของสมาคมถ้านายกสมาคมและอุปนายกสมาคมไม่มาร่วมประชุม หรือไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ก็ให้ที่ประชุมใหญ่ทำการเลือกตั้งกรรมการที่มาร่วมประชุมคนใดคนหนึ่งทำหน้าที่เป็นประธานในการประชุมคราวนั้น
หมวดที่ 5
การเงินและทรัพย์สิน
ข้อ 34. การเงินและทรัพย์สินทั้งหมดให้อยู่ในความรับผิดชอบของคณะกรรมการ เงินสดของสมาคมถ้ามีให้นำฝากไว้ที่ธนาคารในนามสมาคม โดยให้นายกสมาคมลงลายมือชื่อร่วมกับเหรัญญิก และเลขานุการ การเบิกถอนให้กระทำได้โดยลงลายมือชื่อ 2 ใน 3 ของผู้เปิดบัญชีในนามสมาคม
ข้อ 35. การลงนามในตั๋วแลกเงิน หรือ เช็คของสมาคม จะต้องมีลายมือชื่อของนายกสมาคม หรือผู้กระทำการแทน ลงนามร่วมกับเหรัญญิก หรือ เลขานุการ พร้อมกับประทับตราของสมาคมจึงจะถือว่าใช้ได้
ข้อ 36. ให้นายกสมาคมมีอำนาจสั่งจ่ายเงินของสมาคมได้ครั้งละไม่เกิน 20,000 บาท (สองหมื่นบาทถ้วน) ถ้าเกินกว่านั้นจะต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการ และ คณะกรรมการจะอนุมัติให้จ่ายเงินได้ครั้งละไม่เกิน 200,000 บาท (สองแสนบาทถ้วน) ถ้าจำเป็นต้องจ่ายเกินกว่านี้ ต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่ของสมาคม เว้นแต่เป็นการจ่ายเงินที่กำหนดไว้ในโครงการของสมาคม ก็ให้เป็นไปตามรายจ่ายที่กำหนดไว้ตามโครงการนั้นๆ
ข้อ 37. ให้เหรัญญิก มีอำนาจในการเก็บรักษาเงินสดของสมาคมได้ไม่เกิน 20,000 บาท (สองหมื่นบาทถ้วน) ถ้าเกิน
กว่าจำนวนนี้จะต้องนำฝากธนาคารในบัญชีของสมาคมทันที่ที่โอกาสอำนวยให้
ข้อ 38. เหรัญญิก จะต้องทำบัญชีรายรับ รายจ่าย และบัญชีงบดุล ให้ถูกต้องตามหลักวิชาการ การรับหรือการจ่ายทุกครั้ง จะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อของนายกสมาคมหรือผู้ทำการแทนร่วมกับเหรัญญิกหรือผู้ทำการแทน พร้อมกับประทับตราของสมาคมทุกครั้ง
ข้อ 39. ผู้สอบบัญชี จะต้องมิใช่กรรมการ หรือเจ้าหน้าที่ของสมาคม และจะต้องเป็นผู้สอบบัญชีที่ได้รับอนุญาต
ข้อ 40. ผู้สอบบัญชี มีอำนาจหน้าที่จะเรียกเอกสารที่เกี่ยวกับการเงินและทรัพย์สินจากคณะกรรมการและสามารถจะเชิญกรรมการ หรือเจ้าหน้าที่ของสมาคม เพื่อสอบถามเกี่ยวกับบัญชีและทรัพย์สินของสมาคมได้
ข้อ 41. คณะกรรมการจะต้องให้ความร่วมมือกับผู้สอบบัญชีเมื่อได้รับการร้องขอ
หมวดที่ 6
การเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อบังคับและการเลิกสมาคม
ข้อ 42. ข้อบังคับของสมาคมจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขโดยมติของที่ประชุมใหญ่เท่านั้น และองค์ประชุมจะต้องมีสมาชิกสามัญเข้าร่วมประชุมไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของสมาชิกสามัญทั้งหมด มติของที่ประชุมใหญ่ในการให้เปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อบังคับ จะต้องมีคะแนนไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของสมาชิกสามัญที่เข้าร่วมประชุมทั้งหมด
ข้อ 43. การเลิกสมาคมจะเลิกได้โดยมติของที่ประชุมใหญ่ของสมาคม ยกเว้นเป็นการเลิกเพราะเหตุของกฎหมาย มติของที่ประชุมใหญ่ที่ให้เลิกสมาคมจะต้องมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของสมาชิกสามัญที่เข้าร่วมประชุมทั้งหมด และองค์ประชุมใหญ่จะต้องไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของสมาชิกสามัญทั้งหมด
ข้อ 44. เมื่อสมาคมต้องเลิกไม่ว่าด้วยเหตุใดๆ ก็ตาม ทรัพย์สินของสมาคมที่เหลืออยู่ หลังจากที่ได้ชำระบัญชีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ให้ตกเป็นของมูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์
บทเฉพาะกาล
ข้อ 45. ข้อบังคับฉบับนี้ ให้เริ่มใช้บังคับได้นับตั้งแต่วันที่สมาคมได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลเป็นต้นไป
ข้อ 46. เมื่อสมาคมได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนเป็นนิติบุคคลจากทางราชการ ให้ถือว่าผู้เริ่มการทั้งหมดเป็นสมาชิกสามัญ และสมาชิกภาพของคณะกรรมการที่ตั้งขึ้น เริ่มตั้งแต่วันจดทะเบียนเป็นต้นไป
ให้คณะกรรมการชุดแรกที่เป็นผู้เริ่มต้นก่อตั้งสมาคม บริหารงานไปจนกว่าจะครบวาระตามที่ข้อบังคับกำหนดไว้ แล้วจึงจัดให้มีการเลือกตั้งคณะกรรมการของสมาคมชุดใหม่ต่อไป
ลงชื่อ …………………………………………………………..ผู้จัดทำข้อบังคับ
(นายเอกกมล แพทยานันท์)